Skip to main content

ในวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ.2568 ที่ผ่านมา ชาวนาข้าวในลุ่มน้ำอิง-โขง, นักวิชาการจากสำนักวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นักศึกษาต่างชาติ รวม 13 คน ได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนสนทนาว่าด้วย “โอกาสและความท้าทายของข้าวอินทรีย์” หลังจากที่ได้เลื่อนนัดหมายมาหนึ่งครั้งด้วยเหตุของอุทกภัยน้ำท่วมหนักในปีที่แล้ว สร้างความเสียหายแก่เกษตรกรมากมาย เวทีจัดขึ้นภายใต้ “โครงการศึกษาสำรวจการผลิต-การค้า-การบริโภค-สุขภาวะชาวนา-การตลาดข้าวอินทรีย์ จ.เชียงราย” โดย สถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียนแม่น้ำของ ร่วมกับ ศูนย์บรรเทาความยากจนไห่ฮุยในเสฉวน​ ประเทศจีน เพื่อระบุสถานการณ์และหาแนวทางการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ร่วมกัน

นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ ผู้อำนวยการสถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียนแม่น้ำของ กล่าวเปิดว่า 

สืบเนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน จังหวัดเชียงราย ในปี 2559 ประกาศให้ทุกตำบลในอำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เน้นเศรษฐกิจการค้าเป็นด้านหลัก แต่ละเลยผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และฐานศักยภาพการผลิตทางการเกษตรที่เคยมี เช่น ข้าว การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนเป็นการพัฒนาที่ต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศเป็นด้านหลัก และไม่พิจารณาฐานทุนที่ชุมชนท้องถิ่นเชียงรายมีอยู่ จึงเกิดผลกระทบขึ้นมากมาย แต่หากเป็นการพัฒนาที่คำนึงถึงฐานทุนที่มีโดยเฉพาะในประเด็นเรื่องข้าวนั้นก็จะยังประโยชน์ให้ชุมชนทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม การพัฒนาที่ควบคู่กันไปกับการรักษา 

ในช่วงปี 2560 เป็นต้นมา สถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียนแม่น้ำของ กลุ่มรักษ์เชียงของ ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับนักวิชาการและองค์กรพัฒนาเอกชนของจีน การพูดคุยแลกเปลี่ยนต้องสะดุดลงด้วยการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 กระนั้นเราก็พยายามสานต่อเพื่อให้เกิดความร่วมมือและความต่อเนื่อง ในพื้นที่เชียงของมีกลุ่มชาวนาบุญเรือง ชาวนาสถาน และเชื่อมไปยัง อ.แม่ใจ จ.พะเยา เพราะมีคนของเราที่ทำอยู่ที่นั่นด้วย (จักร กินีสี ) นอกจากนี้เราก็เชื่อมงานกับสำนักวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ที่ได้วิจัยเรื่องข้าวในพื้นที่เชียงรายและใกล้เคียง การพบกันครั้งนี้เป็นการพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจและร่วมกันหาแนวทางการพัฒนาข้าวอินทรีย์ว่า ควรจะมีทิศทางไปอย่างไร

ทิศทางการพัฒนาข้าวอินทรีย์ในการสนทนาแลกเปลี่ยนกันในวันนั้นมีความท้าทายและโอกาสอยู่ด้วยกันหลายประการ อย่างน้อย 5 ประการ กล่าวคือ

1.การปนเปื้อนจากแปลงข้างเคียง : การทำนาแบบไม่ต่อเนื่องและการใช้สารเคมีใกล้เคียงทำให้ไม่สามารถรับรองความเป็นนาอินทรีย์ได้ 

สุวิทย์ การะหัน ประธานกลุ่มอนุรักษ์ป่าบุญเรือง เล่าว่า 

ที่ผ่านมาในพื้นที่บุญเรือง ภาครัฐเข้ามาสนับสนุนเรื่องการทำข้าวอินทรีย์เพราะให้ราคาดีกว่า แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะไม่อินทรีย์จริง เนื่องจากคนที่ทำก็อยู่กระจัดกระจาย ฉะนั้นก็จะเจอปัญหาการปนเปื้อนจากแปลงข้างๆ ทั้งในเรื่องน้ำ สารเคมี…

2.ต้นทุนสูง ผลผลิตและราคายังไม่จูงใจ : แม้ต้องดูแลมากขึ้นแต่รายได้ต่อไร่ยังไม่ต่างจากการปลูกข้าวทั่วไป

สุวิทย์ การะหัน เล่าอีกว่า

“…ทุกวันนี้ชาวนาเราทำนาไปแบบไม่มีความรู้เท่าไหร่ และไม่สามารถกำหนดราคาเองได้ แต่ละปีที่ปลูกก็ปลูกไปโดยที่ไม่รู้ว่าปีนี้จะขายได้ราคาเท่าไหร่ เหมือนไม่รู้อนาคตตัวเอง”

3.อุปกรณ์และเทคโนโลยีไม่เหมาะสมกับพื้นที่ : เครื่องจักรที่ได้รับการสนับสนุนไม่สอดคล้องกับลักษณะนาในพื้นที่ ส่งผลต่อประสิทธิภาพ

ตัวแทนชาวนาแปลงใหญ่บ้านบุญเรืองใต้ หมู่ 2 เล่าถึงรัฐบาลที่แล้วมาได้สนับสนุนการรวมกลุ่มการทำนาแปลงใหญ่ในพื้นที่ โดยสนับสนุนเครื่องมือทางการผลิต ได้แก่ รถไถ รถเกี่ยว เครื่องร่อน เครื่องอัดฟาง ในบุญเรืองมีบางส่วนที่เข้าร่วมกลุ่ม ในช่วงที่เข้ามาสนับสนุนนั้นเป็นช่วงก่อนสถานการณ์โควิด ซึ่งสมาชิกในกลุ่มก็จะมีทั้งทำนาในที่นาของตนเอง และมีการเช่าที่ทำนาในนามกลุ่มด้วย นอกจากการสนับสนุนเรื่องเครื่องมือแล้ว ก็สนับสนุนเรื่องเมล็ดพันธุ์และการทำนาแบบประณีต แต่ถึงที่สุดก็ไม่สำเร็จด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เช่น ที่นาของสมาชิกไม่ได้อยู่ติดกันเป็นผืนเดียว โอกาสการปนเปื้อนจากแปลงข้างๆ ทำให้ไม่อินทรีย์จริง อุปกรณ์ที่ได้รับบางส่วนไม่เหมาะสมกับพื้นที่จึงไม่สามารถใช้งานได้ เช่น รถเกี่ยว เนื่องจากคันนาในพื้นที่เราแตกต่างจากภาคกลาง รถไม่สามารถปีนข้ามคันนาได้ (มีการอ้างถึงโครงการ “ไร่นาแสนล้าน” และตัวแทนที่เข้ามาส่งเสริม ซึ่งการประกันราคาข้าว 12 บาท/กก. แต่พอหลังสถานการณ์โควิดก็หายไป)

ลุงสุวิทย์ กล่าวว่า “มีประเด็นหนึ่งที่ผมสนใจ ถ้ามันสามารถปรับตรงนี้ได้น่าจะช่วยได้เยอะ เครื่องปลูกข้าวที่ใช้ๆ กันอยู่ ข้อเสียคือมันใช้ต้นกล้าอายุ 15 วัน ซึ่งมันอายุสั้นเกินไป น้ำหลากมาก็ดูแลยาก ผมมีความคิดว่าถ้าเครื่องนี้ใช้กับกล้าอายุ 1 เดือน ความต้านทานต่อโรคของกล้าที่ปลูกก็จะดีกว่า”

4.การขาดองค์ความรู้และการจัดการต้นทุน :  ชาวนาไม่ค่อยมีความรู้ในการบริหารจัดการต้นทุนและสุขภาพตนเองอย่างแท้จริง

ลุงจิต ตัวแทนเจ้าของแปลงนาขนาดใหญ่จากบ้านบุญเรืองใต้ ต.บุญเรือง อ.เชียงของ กล่าวว่า 

“สนใจการปรับตัวสู่นาข้าวอินทรีย์แปลงใหญ่จะทำได้จริงหรือไม่ อย่างไร”

 ลุงจิต กล่าวว่า “ตนทำนา 160 ไร่ ได้ข้าว 132 ตัน (รายได้ 1 ล้านเศษ) ทำนา 2 ครั้ง/ปี พันธุ์ข้าวที่ปลูกคือ กข.22 (ข้าวอายุสั้น-100 วัน ข้าวแข็งส่งโรงงาน ผลผลิต 1,100 กก./ไร่ ราคาขายปีนี้ กก.ละ 8 บาท) และข้าวนาปีปลูกไว้กิน พันธุ์ที่ปลูกคือ กข.6”

ลุงจิตต้องการให้มีวิทยากรมาให้ความรู้การทำนาข้าวอินทรีย์ เพราะด้วยเรื่องราคาดีส่วนหนึ่ง และน่าจะเป็นแนวทางที่จะช่วยลดการใช้สารเคมี ซึ่งมันหมายถึงการลดต้นทุนด้วยและปลอดภัยกับทั้งคนปลูก คนซื้อ คนกิน และต้องการสนับสนุนพันธุ์ข้าว (กิน) ที่อายุสั้น ในพื้นที่บุญเรืองตอนนี้เริ่มมีความต้องการปลูกข้าวปีละ 3 ครั้ง แต่ยังทำไม่ได้”

5.ข้อจำกัดจากระบบน้ำและฤดูกาล : ความเปลี่ยนแปลงของระบบชลประทานและภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วม ส่งผลกระทบต่อการปลูกข้าวอินทรีย์

ลุงสุวิทย์ กล่าวว่า การทำนาแปลงใหญ่ แม้จะได้การสนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือ แต่ไม่มีงบสนับสนุนซ่อมบำรุง ไม่สนับสนุนวิธีคิดการจัดการ มีที่พอนำมาใช้สร้างรายได้กลุ่มได้บ้าง ได้แก่ เครื่องอัดฟางที่ให้คนในชุมชนมาใช้บริการ แต่ก็มีรายได้ไม่มากนัก และยิ่งมาเจอสถานการณ์น้ำท่วมเมื่อปี 2567 ยิ่งทำให้ไร่นาเสียหายหนัก

“การทำนาปัจจัยไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่มีการหมักดินเหมือนเดิม เพราะต้องเร่งทำ เพราะแปลงข้างๆ เริ่มทำแล้ว นาเมื่อก่อนไม่มีหญ้าเยอะเหมือนปัจจุบัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งยาฆ่าหญ้าเหมือนทุกวันนี้”

มายด์ คนรุ่นใหม่ที่สนใจกลับมาทำเกษตรที่บ้าน ณ เชียงของ เติบโตมาในครอบครัวเกษตร แต่ก็ไม่ได้ทำนาเอง แต่เรียนจบมาทางด้านเกษตร เมื่อเรียนจบอยากจะกลับมาทำนาที่บ้าน ทางบ้านก็ไม่ค่อยเชื่อใจ ไม่วางใจนัก อยากให้เราไปทำงานที่อื่น ก็ได้เริ่มลองทำแปลงเล็กๆ เวลาที่ทำก็จะมีปัญหากับแปลงข้างเคียงที่ทำนาคนละระบบ บางทีเขาก็มาดันคันนาเรา ช่วงเวลาการปล่อยน้ำเข้านาที่ไม่สอดคล้องกัน เคยชวนเขามาทำแบบเดียวกับเราว่ามันดีต่อสุขภาพ เขาก็มองว่าเป็นเรื่องยิบย่อย ขัดกับความเคยชิน สิ่งที่เขาเคยทำ คิดว่าถ้าทำระบบเดียวกันมันจะช่วยลดข้อขัดแย้ง และช่วยลดอุปสรรคในการทำนาอินทรีย์ของเราไปเยอะ

ตัวแทนชาวนานางเครือวัลย์ จาก ต.แม่จว้าใต้ อ.แม่ใจ จ.พะเยา  กล่าวว่า ที่มาเข้าร่วมครั้งนี้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เห็นพี่ชาย (จักร กินีสี อาสาสมัครโฮงเฮียนแม่น้ำของ) ทำให้เชื่อมั่นว่าน่าจะไปได้ ลูกสาวกลับมาอยู่บ้านและกำลังทำโรงงานผลิตชาเพื่อจะขายในประเทศและส่งออกชิลี ซึ่งทางชิลีก็มีการถามถึงข้าวจากไทย เพราะในตลาดชิลียังไม่มีข้าวจากไทยไปขาย นอกจากนี้ในชุมชนที่อยู่ก็เคยมีการรวมกลุ่มผลิตข้าวอินทรีย์ถึงขั้นได้ใบรับรอง แต่ก็ไปต่อไม่ได้ซึ่งน่าเสียดาย นอกจากปัจจัยเรื่องราคาและการสนับสนุนแล้วก็ยังไม่รู้สาเหตุอื่น ซึ่งน่าจะมีการถอดบทเรียนจากกลุ่มนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเราจะเริ่มต้นอีกครั้ง ต้องการสนับสนุนที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้คนทำนาทั้งในแง่ราคาและสุขภาพ

       ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ในการทำนาอินทรีย์คือต้นทุนสูง ดูแลมากกว่า แต่ได้ผลผลิตและราคาแทบไม่แตกต่างจากข้าวปกติ บวกกับการที่การทำนาข้าวอินทรีย์ ไม่ได้ทำแปลงใหญ่ติดกัน การใช้น้ำจากระบบชลประทานในปัจจุบัน แตกต่างจากระบบน้ำเหมืองฝายในอดีต สองปัจจัยนี้มีผลทำให้เกิดการปนเปื้อน รวมถึงระบบน้ำเสียสมดุล ปริมาณน้ำในนามีน้อยในหน้าแล้ง และน้ำท่วมในหน้าฝน นอกจากนี้ พันธุ์ข้าวหลายๆ อย่าง ที่เราเคยเห็นและเคยกิน มันหายไป

นิรดา คนรุ่นใหม่จากต้นน้ำอิง บ้านจันจว้าใต้ อ.แม่ใจ จ.พะเยา – ไม่มีความรู้เรื่องข้าวเลยเพราะไปอยู่นอกชุมชนตลอด และกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการผลิตชาอัสสัมขาย ซึ่งการทำจะทำตั้งต้นน้ำ-ปลายน้ำ ตอนนี้อยู่ในช่วงการก่อสร้างโรงเรือนบรรจุ ช่วงต่อไปก็สนใจที่นำข้าวในชุมชนออกขายบ้าง เพราะเห็นว่าเป็นชองที่ชุมชนเรามีอยู่แล้ว ซึ่งช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ต้องศึกษาเรียนรู้ คิดว่าถึงเวลานั้นเราก็ต้องประสานกับทางการเพื่อปรับปรุงโรงเรือนให้ได้มาตรฐานที่กำหนด

มาย นักศึกษาฝึกงานโฮงเฮียนแม่น้ำของ กล่าวว่า “เวียดนามก็มีปัญหาไม่แตกต่างจากที่หลายคนพูดกัน ที่เวียดนามมีระบบคล้ายกับไทย รัฐสนับสนุนนาแปลงใหญ่ การทำนาที่ไม่พร้อมกันก็ทำให้เกิดปัญหาคล้ายๆ กัน และปัญหาเรื่องพ่อค้าคนกลางกดราคา”

จักร กินีสี อาสาสมัครโฮงเฮียนแม่น้ำของ และผู้ประสานงานชุมชนชาวนาอินทรีย์ในโครงการการศึกษาสำรวจครั้งนี้ กล่าวว่า “การกลับไปเป็นแบบอดีตยาก เพราะเรายังนึกถึงวิธีการแบบเก่าอยู่ทุกวันนี้ทำนาไปไม่รู้ว่าจะได้เท่าไหร่ ทำนาไปไม่รวยเพราะราคามันถูก นั่นเพราะเรายอมรับให้เขากำหนดราคา การจะไปสู่เกษตรอินทรีย์ ไม่สามารถทำให้เกิดในชั่วข้ามวันข้ามคืน ทำนาทุกวันนี้ไม่รู้จะได้กำไรเท่าไหร่ ทุกวันนี้ยังไม่มีการคิดต้นทุนที่ต้องรวมต้นทุนแรงงานตัวเอง และเราต้องการกำไรเท่าไหร่ ยังไม่ค่อยคุยกันถึงสิ่งที่ต้องการให้มาเสริมเพื่อให้ทำได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่เคยคิดเรื่องต้นทุนสุขภาพตัวเอง ทำนาทุกวันนี้คนทำถึงไม่รวย คนที่รวยคือแม่ม่าย (พ่อบ้านทำงานใช้สารเคมีอย่างมากจนสุขภาพแย่และตายลง เงินที่ได้มาจึงตกแก่ภรรยาซึ่งเป็นแม่ม่าย เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ของประเทศไทย) ทุกวันนี้เรายังไม่ได้มองทางเลือกใหม่ๆ”

หากมองโอกาสจากการเสวนาในวันนั้น พบว่า การรวมตัวของชาวบ้าน นักวิชาการ และนักศึกษาต่างประเทศสะท้อนความสนใจร่วมกันในการพัฒนาข้าวอินทรีย์เป็นโอกาสหนึ่งที่จะนำไปสู่อนาคตได้บ้าง 

ลีโอ บัลดีกา นศ.ปริญญาเอก กล่าวว่า “ผมเป็นนศ.ที่กำลังทำปริญญาเอกอยู่ สนใจเรื่องการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำการเกษตร และคิดว่าเทคโนโลยีก็น่าจะนำเข้ามาช่วยเรื่องการทำนาข้าวอินทรีย์ด้วยได้ จากประเด็นเรื่องการปนเปื้อนที่พูดถึงกัน คิดว่าการใช้โดรนพ่นสารเคมีก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญซึ่งทำให้เกิดการปนเปื้อน ก็จะเห็นเลยว่าการปนเปื้อนเกิดขึ้นได้หลายทางมาก ทั้ง ดิน น้ำ อากาศ”

เราจึงมองหาโอกาสลงไปเก็บบทเรียนจากชุมชนเกษตรอินทรีย์ซึ่งจะมาร่วมกับเราด้วยในวันนั้น แต่ด้วยฝนตกหนักจนท่วมถนนเข้าหมู่บ้านอย่างฉับพลัน ทำให้ไม่สามารถมาร่วมได้ คือ กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งต้อม ตำบลดอนไชย อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย และไปเยี่ยมเยียนพูดคุยกับกลุ่มข้าวอินทรีย์ บ้านแม่จว้าใต้ หมู่ที่ 5 ตำบลแม่สุก อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา

จักร กินีสี  ผู้ประสานงานชุมชน ลงพื้นที่ทั้งสองในกลางเดือน ก.ย. 2568 ที่ผ่านมา เขาบันทึกว่า 

กลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านทุ่งต้อม ตำบลดอนไชย อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย มีแรงจูงใจในการผลิตข้าวอินทรีย์และอาหารอินทรีย์ ด้วยอยากกินอาหารที่ดีปลอดภัยต่อสุขภาพของคนในครอบครัวของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเคยไปอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ แต่อยากจะมาทำนาปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่นาของตนเองที่บ้านเกิด เพราะเป็นห่วงสุขภาพของแม่ที่เริ่มมีอายุมากและลูกๆที่กำลังเล็กอยู่  อยากจะกลับมาทำการเกษตรที่ไม่ใช้สารเคมีในที่ดินของแม่ที่มีอยู่ที่บ้านเกิด เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่บ้านทุ่งต้อมมีอากาศดี น้ำอุดมสมบูรณ์ มีทุ่งนา ป่าชุมชน และลำห้วย และปัจจุบันสามารถทำงานออนไลน์ได้ กรุงเทพฯ เป็นเมืองใหญ่สภาพแวดล้อมไม่ค่อยดีเท่าชนบทบ้านเกิด อาหารก็แพง ไม่แน่ใจในความปลอดภัย ชีวิตต้องรีบเร่งแข่งขัน จึงอยากจะทำการผลิตอาหารปลอดภัยกินเอง ถ้ามีมากอาจจะขายสร้างเป็นรายได้ 

เริ่มแรกทำในครอบครัวตนเองก่อน เพราะคนในชุมชนส่วนใหญ่ยังไม่มีความรู้ความเข้าใจถึงผลกระทบของสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรต่อตนเอง ต่อคนในครอบครัว ต่อสภาพแวดล้อมดินน้ำอากาศ อาหารที่กินในพื้นที่หมู่บ้านของตนเอง จึงได้ทำงานกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลดอนไชย เกี่ยวกับการส่งเสริมการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย อาหารสมุนไพรในชุมชน พร้อมทั้งศึกษาข้อมูลตรวจสุขภาพและสารเคมีในเลือดของคนในชุมชน พบว่าส่วนใหญ่มีปริมาณสารเคมีอยู่ในเลือด เนื่องมาจากอาหารที่ใช้สารเคมีในการผลิต ประกอบกับข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆทั้งภาครัฐและวิชาการ เกี่ยวกับการเจ็บป่วยหรือโรคที่คุกคามชีวิตของเกษตรกรในปัจจุบัน รวมทั้งความก้าวหน้าในการแปรรูป สร้างคุณค่าและเพิ่มมูลค่า พัฒนาการตลาด และเพิ่มช่องทางการขาย โดยการใช้สื่อออนไลน์

การพัฒนาการผลิต การแปรรูปผลผลิตเพื่อลดต้นทุน พึ่งตนเอง เพิ่มคุณค่าและมูลค่า

-การปลูกข้าว โดยทำแบบนาโยน แทนการทำนาหว่าน และนาดำ 

-ขบวนการผลิต สร้างให้มีความหมายและน่าสนใจ เชื่อมโยงกับสุขภาพ เช่น เนื้อหมูอารมณ์ดี กบมีความสุข ไข่ออร์กานิค ปลาอินทรีย์ ข้าวสี่ธาตุ

-การพัฒนาการผลิตอาหารสัตว์สำหรับ หมู ปลา ไก่ กบ

-พัฒนาข้าวผสมสมุนไพรประจำสี่ธาตุ พร้อมทั้งให้ข้อมูลคุณค่าความเหมาะสมการบริโภคข้าวประจำธาตุ  4 ธาตุ ได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ สำหรับผู้บริโภคที่มีธาตุหลักแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังแปรรูป ที่เรียกว่า ข้าวเขียวมรกต ที่มีตัวต่อต้านอนุมูลอิสระถึงแปดเท่าของข้าวทั่วไป

– การทำปลาดุกแดดเดียว 

การตั้งราคาสินค้าข้าว 

-การตั้งราคาข้าว โดยใช้ฐานข้อมูลต้นทุนการผลิต ได้แก่ พื้นที่ปลูกข้าว พันธุ์ข้าว การเตรียมดิน การปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยว การแปรรูป การเพิ่มคุณค่าสมุนไพร ออกแบบผลิตภัณฑ์ การบรรจุ การบริหารจัดการของกลุ่ม โดยปัจจุบันได้ตั้งราคาข้าวประจำธาตุต่างๆ ขนาดบรรจุกิโลกรัมราคาขายปลีก 100 บาท ขายส่ง 80 บาท และขนาดบรรจุครึ่งกิโลกรัมราคาขายปลีก 60 บาท ราคาขายส่ง 45 บาท

-ช่องทางการสื่อสารการตลาดและการขายด้วยการสร้างหัวเรื่องสื่อความหมายสินค้าให้น่าสนใจ เช่น หมูอารมณ์ดี และจำหน่ายทั้งโดยการชำแหละขายในชุมชน การสื่อสารขายออนไลน์  และขายกับเครือข่ายหน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิชาการ และกลุ่มที่มาศึกษาดูงาน

บทเรียนสำคัญนับแต่แรกเริ่มเลี้ยงหมูดำหรือหมูดอย ห่าน เดินกินอาหารในแปลงนา สัตว์เลี้ยงเหล่านี้ให้มูลใช้เป็นปุ๋ยคอกในการปรับปรุงดินในนาที่ต้องการปลูกข้าว ในปีแรกข้าวเป็นโรคใบไหม้ ไม่รู้จะทำการแก้ปัญหาอย่างไร เพราะเป็นการทำนาครั้งแรกของคนรุ่นใหม่ เลยปล่อยทิ้งให้เป็นอาหารของห่านแทน แต่หลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ยอดอ่อนของต้นข้าวได้กลับมาเขียวอีกครั้งจนสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ นั่นจึงได้เปลี่ยนวิธีการปลูกข้าวเป็นแบบนาโยน ในช่วงระยะเริ่มต้นยังไม่มีผู้เข้ามาร่วมเป็นกลุ่ม แต่เมื่อเขามีความรู้ความเข้าใจเรื่องของผลกระทบของสารเคมี และเห็นตัวอย่างการทำนาที่ไม่ใช้สารเคมี จึงมีคนเข้าร่วมมากขึ้น

การส่งเสริมขยายผล รวมกลุ่มสมาชิกกับคนในชุมชน โดยการทำเป็นตัวอย่างให้ดู จะเน้นการผลิตเพื่อการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยของครอบครัว ถ้าผลผลิตมีมากสามารถนำมาขายตั้งราคาร่วมกันได้ ต้องทำงานประสานกับหน่วยงานด้านสุขภาพในพื้นที่ เพื่อประเมินความเสี่ยงของคนในชุมชนกับสารเคมีทางการเกษตร รวมไปถึงขยายผลสู่หน่วยงานภายนอกที่ได้เข้ามาสนับสนุน ได้แก่ มูลนิธิโครงการหลวง (สนับสนุนพันธุ์หมูเหมยซาน), มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนาเชียงราย มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

กลุ่มข้าวอินทรีย์ บ้านแม่จว้าใต้ หมู่ที่ 5 ตำบลแม่สุก อำเภอแม่ใจ จังหวัดพะเยา เป็นกลุ่มที่เริ่มต้นในปี พ.ศ. 2550 โดยการส่งเสริมของสำนักงานเกษตรจังหวัดพะเยา เพื่อต้องการสร้างรายได้เพิ่มแก่เกษตรกรที่สนใจทำนาข้าวอินทรีย์ สนับสนุนการทำปุ๋ยชีวภาพ สารเคมีกำจัดแมลงจากธรรมชาติ และรับประกันราคาซื้อข้าวเปลือกจากสมาชิก เริ่มแรกมีสมาชิกเกือบ 100 ครอบครัว หลังจากนั้นประมาณ 2-3 ปี สมาชิกส่วนใหญ่เลิกทำเนื่องเพราะไม่คุ้มค่ากับภาวะเศรษฐกิจของครอบครัว เพราะการทำนาข้าวอินทรีย์ต้องใช้เวลามากกว่าการทำนาแบบเคมี ผลผลิตก็ได้น้อยกว่าทำให้รายได้จากการขายข้าวลดลง และทำให้ขาดรายได้เสริมจากกิจกรรมที่ทำรายได้หลักของครอบครัว (กันยายน 2568 เหลือเพียงผู้นำกลุ่ม) 

สำนักงานเกษตรจังหวัดพะเยาได้เข้าส่งเสริมการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวแทนหลังจากสมาชิกไม่ผลิตข้าวอินทรีย์แล้ว สำนักงานฯประกันราคาข้าวเปลือกสูงกว่าราคาข้าวอินทรีย์ โดยให้ราคาข้าวเปลือกกิโลกรัมละ 25 บาท แก่สมาชิกกลุ่มที่ผลิตพันธุ์ข้าว แต่ก็มีสมาชิกทำแค่2-3 ปี ก็เลิกทำ เนื่องเพราะต้องใช้เวลาดูแลมากไม่คุ้มค่าเวลา รวมทั้งการคัดมาตรฐานเมล็ดพันธุ์ต้องใช้ความเพียรเวลาค่อนข้างมาก ไม่คุ้มค่ากับราคาและรายได้ รวมทั้งทางสำนักงานเกษตรจังหวัดไม่ได้พัฒนาการคิดต้นทุนการทำนา ได้แก่ ค่าแรงและค่าเดินทางในการดูแล ค่าที่ดิน ค่าองค์ความรู้ ค่าการเสื่อมของอุปกรณ์เครื่องมือในการทำนา ส่วนใหญ่จะคิดแค่ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าไถพรวนดิน ค่าปลูก ค่าเก็บเกี่ยว การขนย้าย เท่านั้น  

ปัจจุบันมีเฉพาะผู้นำกลุ่มครอบครัวเดียวซึ่งเป็นครอบครัวคนรุ่นใหม่ ที่ยังผลิตเมล็ดพันธุ์ให้แก่ทางสำนักงานเกษตรจังหวัดพะเยา ส่วนคนที่เคยเป็นสมาชิกยังเป็นสมาชิกกลุ่มอยู่แม้นไม่ได้ทำนาข้าวอินทรีย์ แต่ผลิตข้าวปลอดภัย บางส่วนมีบริษัทค้าข้าวมาซื้อ แต่ต้องแปรรูปเป็นข้าวสารหรือข้าวกล้อง ส่วนราคาข้าวผู้ซื้อเป็นผู้ตั้งราคาเช่นกัน 

คนในชุมชน บ้านแม่จว้าใต้ หมู่ที่ 5 ส่วนหนึ่งที่เคยรับราชการมาก่อน เกษียณแล้ว บางส่วนได้ปลูกข้าวทำสวนแบบเกษตรอินทรีย์เพื่อกินในครอบครัวเป็นหลัก บางส่วนขายของฝากแก่ญาติและเพื่อน ถ้ามีมากก็จะขาย แต่การขายไม่เน้นเรื่องราคาเพื่อหารายได้  แต่เน้นที่จะให้ผู้ซื้อได้กินข้าวที่มีคุณค่าต่อสุขภาพ และร่วมสร้างแนวทางการทำนาข้าวอินทรีย์ร่วมกัน

ความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูและพัฒนาการผลิตข้าวอินทรีย์ของกลุ่มฯ จักร กินีสี มองว่า จากการที่มีคนรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งในชุมชนที่ยังผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว สนใจที่จะฟื้นฟูการทำนาอินทรีย์ของคนในชุมชน ร่วมมือกับคนรุ่นใหม่ของชุมชนที่เคยไปศึกษาและทำงานในเมืองใหญ่ได้หันกลับคืนมาสร้างอาชีพทางเลือกใหม่ในชุมชนบ้านของตนเอง สนใจด้านอาหารเพื่อสุขภาพ และการผลิตที่ไม่สร้างมลภาวะแวดล้อมของชุมชน ต้องการทำการผลิตอาหาร และแปรรูปสินค้าเกษตรอินทรีย์ 

ปัจจุบันส่วนหนึ่งได้มีการพัฒนาสร้างห้องแปรรูป ห้องบรรจุ ฆ่าเชื้อ และห้องเก็บชาอัสสัม ตามมาตรฐานขององค์การอาหารและยา เพื่อขายทั้งในประเทศและส่งออก โดยมีแหล่งปลูกชาอัสสัมอินทรีย์ของเครือข่ายญาติเชื้อสายจีนตระกูลแซ่เดียวกัน ซึ่งอยู่อาศัยบริเวณดอยห้วยน้ำขุ่น อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย ถือว่าเป็นแหล่งชาอัสสัมที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของภาคเหนือ พร้อมทั้งอยากฟื้นฟูการผลิตและแปรรูปข้าวอินทรีย์ที่เน้นเรื่องสุขภาพของคนในครอบครัวและผู้บริโภค  เพราะคนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ มีความรู้ทั้งด้านเทคโนโลยี การแปรรูป การออกแบบผลิตภัณฑ์ การตลาด  และช่องทางการขายผ่านเครือข่ายต่างประเทศที่มีอยู่แล้ว รู้ภาษาต่างประเทศสามารถเข้าถึงข้อมูลด้านต่างๆ ได้ง่าย และสื่อสารข้อมูลต่างผ่านสื่อต่างๆที่สามารถสื่อข้ามพรมแดนได้  

ดังนั้นแนวทางการพัฒนาการพัฒนาการผลิตอาหารเกษตรอินทรีย์ของชุมชน ควรมีเป้าหมาย การผลิตข้าวเพื่อสุขภาพของครอบครัวและผู้บริโภค มากกว่าเป้าหมายที่ต้องการขายให้ได้ราคาเพียงด้านเดียว โดยอาจจะทดลองทั้งการลด การเลิกการใช้สารเคมี หันมาใช้วิธีทางชีวภาพธรรมชาติแทน ผ่านการทำงานการศึกษาหรือการวิจัยกับกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่ และครอบครัวที่ทำนาอินทรีย์เพื่อบริโภคในครอบครัว

กล่าวโดยสรุปได้ว่าโอกาสของเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ลุ่มน้ำอิง-โขง ยังมีอยู่ ทั้งความความสนใจจากชุมชนและนักวิจัย: การรวมตัวของชาวบ้าน นักวิชาการ และนักศึกษาต่างประเทศสะท้อนความสนใจร่วมกันในการพัฒนาข้าวอินทรีย์ให้ยั่งยืน, ศักยภาพในการลดต้นทุนและดูแลสุขภาพ : การทำนาอินทรีย์ช่วยลดการพึ่งพาสารเคมี และเพิ่มความปลอดภัยให้ผู้ผลิตและผู้บริโภค, การฟื้นคืนและพัฒนาพันธุ์ข้าวพื้นบ้าน : ชาวนาเริ่มให้ความสำคัญกับพันธุ์ข้าวอายุสั้นและพันธุ์ดั้งเดิมที่เคยหายไป, โอกาสทางตลาดทั้งในและต่างประเทศ :  มีความต้องการข้าวอินทรีย์จากตลาดต่างประเทศ เช่น ชิลี และโอกาสเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่น เช่น การผลิตชาอัสสัม, บทเรียนจากอดีตเพื่อเริ่มต้นใหม่ :  ชุมชนที่เคยได้รับใบรับรองข้าวอินทรีย์สามารถเป็นกรณีศึกษาในการพัฒนารอบใหม่ให้มีประสิทธิภาพและความยั่งยืนมากขึ้น

รายงานโดย จักร กินีสี ลงพื้นที่สำรวจแลกเปลี่ยนเก็บข้อมูลกรณีศึกษาการพัฒนาข้าวอินทรีย์

เรียบเรียงโดย นพรัตน์ ละมุล สถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียนแม่น้ำของ

(เนื้อในส่วนงานวิจัยของนักวิชาการและจากโครงการฯ จะนำเสนอรายงานฉบับเต็มในโอกาสต่อไป)

Share/แชร์

Leave a Reply