Skip to main content

เวลา 09.00-12.00 น. วันที่ 22 ก.ย. ที่ผ่านมา สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดเสวนาวิชาการ “แร่พิษไหลข้ามพรมแดนกฎหมายการตรวจสอบย้อนกลับและสิทธิในการคุ้มครองแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง” และนำเสนอนิทรรศการ “Voices of the People & River – สิทธิของประชาชน และสิทธิของแม่น้ำ”

อาจารย์ อริสรา เหล็กคำ รองคณะบดีสำนักวิชานิติศาสตร์ กล่าวรายงานว่า ด้วยสถานการณ์ปนเปื้อนของโลหะหนักในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก แม่น้ำโขง ตอนเหนือ เกินกว่ามาตรฐานคุณภาพน้ำที่กรมควบคุมมลพิษกำหนดอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนมี.ค.2568 โดยมีหลักฐานการรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายสำนัก ว่าเชื่อมโยงกับกิจกรรมการทำเหมืองต้นน้ำในพื้นที่ชายแดนเมียนมา อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการปนเปื้อน เหมืองแร่นี้อยู่นอกเขตอำนาจรัฐของประเทศไทย กรอบกฎหมายภายในประเทศมีข้อจำกัดมากต่อการแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ ดังนั้นในวันนี้จึงมาพิจารณามุมมองใหม่ๆ ร่วมกัน”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ยศพนธ์ นิติรุจิโรจน์ รองคณบดีสำนักวิชานิติศาสตร์ กล่าวเปิดงานว่า “มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้จัดการเสวนาวิชาการและนิทรรศการหัวข้อ “แร่พิษไหลข้ามพรมแดน: กฎหมายการตรวจสอบย้อนกลับและสิทธิในการคุ้มครองแม่น้ำกก สาย รวก โขง” เนื่องในโอกาสครบรอบ 27 ปีของมหาวิทยาลัยฯ งานนี้จัดขึ้นโดยนักศึกษารายวิชากฎหมายแม่น้ำระหว่างประเทศ ภายใต้การดูแลของอาจารย์อริสรา เหล็กคำ 

จังหวัดเชียงรายกำลังประสบปัญหาสารโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำสายสำคัญ ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ซึ่งประชาชนใช้ในการอุปโภคบริโภค การสัมผัสหรือบริโภคต่อเนื่องอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ นับตั้งแต่ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำโขงต้องหยุดชะงักลง การเกษตรและการประมงก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก 

นิทรรศการของนักศึกษาได้สะท้อนให้เห็นถึง 3 หัวข้อหลักคือสิทธิของแม่น้ำ, สิทธิของผู้คนที่จะเข้าถึงน้ำสะอาด รวมถึงแนวคิด “Voice of the People and River” งานเสวนาและนิทรรศการนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบโจทย์ปัญหาที่ชาวเชียงรายกำลังเผชิญอยู่ โดยมุ่งหวังให้เกิดการร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

ผู้จัดงานหวังว่าการรวมพลังของนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ภาคประชาชน และนักศึกษาในครั้งนี้ จะนำไปสู่ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อการคุ้มครองแม่น้ำและสิทธิมนุษยชน ตลอดจนเป็นก้าวสำคัญของจังหวัดเชียงรายและภูมิภาคในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”

อาจารย์  ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง  วิทยากรบรรยายคนแรกว่าด้วย “ฉากทัศน์ของพื้นที่: การทำเหมืองและการปนเปื้อนในลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง” เปิดประเด็นว่า

การมองปัญหานี้มีตัวแบบในเรื่องความซับซ้อนและความเสี่ยงข้ามพรมแดนอยู่ 4 ตัวแบบ 2 แนวคิด  แรกคือเราคิดว่าเป็นเรื่องชายแดนระหว่างไทยและพม่า  (ฺBorder Bilatoral) ควรจะแก้กันง่ายๆ แต่เหมืองแร่มันกระทบกับหลายประเทศ อันที่สองมันไปเกี่ยวกับกลไกระหว่างประเทศแล้ว (point sources : regional)  อันที่สาม แร่เหล่านั้นไม่ใช่แร่ทองเพียงอย่างเดียวมีแร่แรร์เอิร์ทด้วย (Strutural : Economic/Politic Reform)  แล้วจะทำอย่างไร อันที่สี่สุดท้ายแร่แรร์เอิร์ทมันไปเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานในระดับโลก (Global : Planetary Coorperation) แล้วปัญหาของเรามันเกี่ยวกับโมเดลไหน มันซ้อนกันทั้งสี่อันเลย หากถกเถียงในทางมานุษยวิทยาว่า เป็นปัญหาของ Anthropocence หรือเป็นปัญหาของระบบทุนนิคม Capitalocence กันแน่…

คำถามนี่น่าสนใจคือการทำเหมืองแร่อาจเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ใหญ่กว่า เช่น ประเด็น Anthropocene หรือระบบทุนนิยม ผู้บรรยายเน้นย้ำถึงปัญหาการปนเปื้อนสารโลหะหนักจากเหมืองแร่ในเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบข้ามพรมแดนมายังประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ และชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของการจัดการปัญหาทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ

“ถามว่าแนวปฏิบัติต่างๆ  มีหรือไม่ ในการจะไปสอนให้พม่าทำเหมืองแร่ที่สะอาดได้ ทั้ง UN ก็มี OECD ก็มี ASEAN ก็มี รัฐบาล(ที่ผ่านมา) ก็บอกว่าจะไปเจรจากับพม่า นี่เพิ่งไปเจรจามา (20 ส.ค.2568) ไปชวนพม่ามาตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำ เพราะพม่าบอกว่า น้ำมันไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ทางเราบอกว่าค่ามันได้แค่นี้ แล้วเหมืองแร่มันอยู่ที่ไหน มันมีหน้าตาอย่างไร”

“แร่แร่เอิร์ท หรือ Critical Mineral นี่มีอยู่อย่างน้อย 60 ตัวที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านพลังงาน แรร์เอิร์ธเป็นหนึ่งในนั้น” แร่หายาก (Rare Earths) เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านพลังงานระดับโลก ทำให้ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานพลังงานโลก เรื่องนี้จึงซับซ้อนยิ่งขึ้น

แร่หายากเป็นแร่ธาตุสำคัญสำหรับเทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่านพลังงาน เช่น รถยนต์ไฟฟ้า มีความต้องการสูง เมียนมาติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกในการเป็นผู้ผลิตแร่หายาก โดยมีแหล่งแร่กระจายอยู่ทั่วประเทศ พื้นที่ทำเหมืองแร่ตั้งอยู่บริเวณใกล้ชายแดนไทย เช่น ท่าขี้เหล็ก และบริเวณต้นน้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำกก, แม่น้ำสาย, แม่น้ำอิรวดี, แม่น้ำสาละวิน, แม่น้ำโหลยซึ่งไหลลงแม่น้ำโขง

การทำเหมืองมักอยู่ในเขตปกครองของกลุ่มชาติพันธุ์และมีกองกำลังที่ไม่ใช่ของรัฐทหารพม่า ทำให้การตรวจสอบและควบคุมเป็นไปได้ยาก มีการแทรกแซงจากมหาอำนาจ เช่น จีน สหรัฐฯ และอินเดีย ซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสำรวจและนำเข้าแร่จากเมียนมา เพิ่มความซับซ้อนของปัญหา

ไทยในฐานะทางผ่านของแร่ มีบริษัทไทยอย่างน้อย 20 แห่งนำเข้าแร่จากเมียนมา เช่น แมงกานีส, ตะกั่ว, ทองแดง, ดีบุก, สังกะสี ผ่านด่านชายแดน เช่น เชียงราย แม่ฮ่องสอน ตาก แร่ส่วนใหญ่ถูกส่งต่อไปยังจีน แต่ก็มีบริษัทไทยที่ได้รับประโยชน์จากการเป็นทางผ่าน บางข่าวในโซเซียลมีเดียมีดาราบางท่านประกาศขายแร่พลวงโดยตรงเองก็มี ประเทศไทยไม่สามารถตรวจสอบแร่ที่ผ่านแดนได้โดยง่าย เนื่องจากข้อตกลงทางการค้าและการขนส่งเสรี

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพในประเทศไทย ผู้บรรยายแสดงให้เห็นว่าการปนเปื้อนแหล่งน้ำอย่างกว้างขวาง ดูได้จาก Google Earth ชี้ว่ามีจุดทำเหมืองแร่หายากและทองคำจำนวนมากในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นต้นน้ำที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียตนาม ออกสู่ทะเลใหญ่ต่อไป

ผู้บรรยายได้ใช้ภาพแผนที่จาก Stimson Center องค์กรเอกชนที่มีฐานอยู่วอชิงตัน ดีซี ที่ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมมาศึกษาวิเคราะห์เหมืองต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งทำให้เห็นว่าประเทศในลุ่มน้ำโขงบริเวณต้นแม่น้ำสาขาทั้งในพม่า,ลาว พบ 73 เหมืองแร่ และในลุ่มน้ำอิรวดีมีเหมืองแร่ 451 แห่ง  ส่งผลต่อแม่น้ำไปทั่ว ทำให้เห็นความขุ่นของน้ำอย่างชัดเจน แม่น้ำสายหลักของเมียนมาเต็มไปด้วยเหมืองแร่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อแม่น้ำโขงและสาขาต่างๆ ที่ไหลผ่านไทย ลาว และกัมพูชา ท่านสามารถเข้าดูรายละเอียด การขุดแร่หายากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ ได้ในเว็บไซต์ของศูนย์สติมสัน 

นอกจากนี้ผู้บรรยายพูดถึงความคลุมเครือและการจัดการของรัฐบาลไทย “หน่วยงานรัฐมักแจ้งว่าค่าสารโลหะหนักต่างๆ “ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน” หรือ “ไม่พบสาร” มีการใช้ชุดตรวจแบบง่าย (Test Kit) ในการตรวจน้ำ ซึ่งสามารถตรวจได้เพียงสารหนูเท่านั้น แต่ตรวจสารโลหะหนักอื่นๆ ที่สำคัญไม่ได้ครบถ้วน 

น้ำประปา: การประปาส่วนภูมิภาคในพื้นที่ เช่น เชียงราย แม่สาย เชียงแสน เชียงของ ตรวจพบสารหนูและแบเรียมในการทดสอบทางห้องปฏิบัติการเป็นประจำทุกเดือน (แม้ชุดตรวจง่ายจะไม่พบ) แม้จะระบุว่า “ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน” แต่การประปาเองกลับกำลังพิจารณาหาแหล่งน้ำดิบใหม่ ซึ่งบ่งชี้ถึงปัญหาที่แท้จริง

การปนเปื้อนในสัตว์น้ำและอาหาร: ตัวอย่างปลาในแม่น้ำพบสารปรอทในระดับสูง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมินามาตะ กรมอนามัยได้แนะนำให้ “งดจับปลาและสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำเสี่ยง” ซึ่งขัดแย้งกับคำประชาสัมพันธ์ของทางการที่ว่า “กินได้เพราะไม่เกินมาตรฐาน”

ผลผลิตทางการเกษตร: นาข้าวมากกว่า 100,000 ไร่ และพืชผัก เช่น ผักกาด, พริก, มะม่วง, ข้าวโพดหวาน ที่ใช้น้ำจากแม่น้ำที่ปนเปื้อน ได้รับการปนเปื้อนจากสารหนู แคดเมียม และตะกั่ว และยังพบสารปนเปื้อนในพืชหลายตัวอย่าง แต่ยังคงถูกระบุว่า “ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน” เกษตรกรได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำกก หรือใช้วิธีปรับปรุงดิน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในทางปฏิบัติ

ผลการตรวจข้าวนาปรังในรอบการผลิตที่ผ่านมา พบ “สารหนู” ในข้าวที่ส่งตรวจโดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ การตรวจปัสสาวะของประชาชนพบสารโลหะหนัก แต่ก็ถูกระบุว่า “ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน”

ผู้บรรยายตั้งคำถามถึงความเสี่ยงสะสมในระยะยาวจากการบริโภคสารเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง แม้ในแต่ละครั้งจะยังไม่เกินค่ามาตรฐาน และผลกระทบต่อร่างกายของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน

สรุปจากผู้บรรยายท่านแรกได้ว่า ประชาชนในภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากการปนเปื้อนสารโลหะหนักในชีวิตประจำวัน ทั้งจากน้ำดื่ม อาหาร และสิ่งแวดล้อม ปัญหาเกิดจากความซับซ้อนในการจัดการแหล่งกำเนิดในเมียนมา และการรับมือของหน่วยงานรัฐไทยที่ยังคงเน้นย้ำว่าค่าสารต่างๆ “ไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน” ในขณะที่ข้อเท็จจริงและพฤติกรรมบางอย่างของหน่วยงานเอง (เช่น การแสวงหาแหล่งน้ำดิบใหม่) กลับบ่งชี้ถึงปัญหาที่ชัดเจน ทำให้ประชาชนต้อง “อยู่กับความเสี่ยง” ต่อไป

อาจารย์ อริสรา เหล็กคำ รองคณะบดีสำนักวิชานิติศาสตร์ ผู้ดำเนินรายการเสวนาขมวดประเด็นว่า ขอบคุณที่ให้เห็นภาพความเชื่อมโยงสถานการณ์ในพื้นที่ตอนนี้เป็นอย่างไร ปัจจุบันประชาชนในพื้นที่ต้องตรวจสอบคุณภาพน้ำที่ปนเปื้อนด้วยตนเอง ซึ่งเกินค่ามาตรฐานในบางครั้ง ภาคเกษตรกรรมและประมงกำลังประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบและจัดหาแหล่งน้ำใหม่เป็นภาระภาษีของประเทศ โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรง สินค้าเกษตรที่สำคัญ เช่น ข้าวจากเชียงราย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การบริโภคในท้องถิ่น แต่มีการส่งออกไปทั่วประเทศ ทำให้ปัญหาการปนเปื้อนเป็นเรื่องที่น่ากังวลในวงกว้าง ปัญหาหลักคือ แหล่งกำเนิดมลพิษอยู่นอกดินแดนไทย แต่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่ในประเทศไทย ประเด็นคือวิธีการทำเหมืองที่อาจไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่? ที่นำไปสู่การปนเปื้อน? เส้นทางแร่มีคนสนใจเยอะมาก ทั้งในพม่า แม้กระทั่งจีน อินเดีย สหรัฐฯ ที่เข้ามา ส่งไปกระจาย ในระหว่างประเทศ แล้วมีเวทีอะไรไหมที่พูดถึงประเด็นเรื่องการทำเหมืองแร่ที่ผิดกฎหมาย และมีแนวทางอย่างไร แบบไหนที่เราควรจะดำเนินการต่อไป

อาจารย์ ดร.พีท หอมชื่น อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเหมืองแร่และปิโตรเลียม คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายในหัวข้อ “กระบวนการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ สารเคมี การตรวจสอบย้อนกลับ และแนวทาง การรับมือกับการปนเปื้อน” 

“มีใครที่ตื่นมาทุกวันไม่ได้ใช้ทรัพยากรแร่บ้างไหมครับ เพราะว่าทุกท่านมีโทรศัพท์มือถือ โทรศัพท์เราก็ใช้แร่แรร์เอิร์ทในการผลิต เครื่องสำอาง และอีกหลายอย่าง นับว่าตั้งแต่ตื่นนอนจนนอนหลับเราใช้ทรัพยากรแร่ทั้งนั้น ผมขอพูดสั้นๆ ละกันว่าไม่ว่าจะเป็นเหมืองแร่ จะเป็นแร่แรร์เอิร์ธ จะเป็นทองคํา หรือว่าแม้แต่หินปูนหินก่อสร้าง หรือว่าแม้แต่บ่อทราย ถ้าผู้ประกอบการไม่ได้ทําถูกต้อง แล้วมันก็ส่งผลกระทบต่อต่อทุกท่านต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบอยู่แล้วนะครับ”

อาจารย์เริ่มด้วยการพึ่งพาทรัพยากรแร่ในชีวิตประจำวัน มนุษย์ทุกคนใช้ทรัพยากรแร่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ เครื่องสำอาง หรือแม้แต่สิ่งก่อสร้าง การทำเหมืองแร่จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นแต่หากดำเนินการไม่ถูกต้องจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและทุกคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นแร่หายาก ทองคำ หินปูน หรือทราย 

ด้านกรรมสิทธิ์และการจัดการทรัพยากรแร่ แหล่งแร่ไม่ได้เกิดขึ้นทุกที่ แต่มีเฉพาะบางประเทศและบางพื้นที่เท่านั้น กรุงเทพฯ อาจไม่มีเหมืองแร่โดยตรงแต่ผู้คนก็ยังได้รับผลกระทบจากการใช้ทรัพยากร ทรัพยากรแร่เป็นของประเทศชาติ ไม่ใช่ของบริษัทผู้ประกอบการทำเหมือง ผู้ประกอบการมีหน้าที่นำทรัพยากรมาใช้และจ่ายค่าภาคหลวง รวมถึงผลประโยชน์พิเศษและค่าตอบแทนแก่รัฐ

ส่วนแหล่งที่มาของมลพิษและการปนเปื้อน: สารหนู (Arsenic) ไม่ได้มาจากเหมืองแร่อย่างเดียว แต่อาจมาจากสารเคมีฆ่าแมลงในการเกษตรด้วย อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ธาตุในแร่สามารถระบุแหล่งที่มาของสารหนูจากเหมืองได้ การขนส่งเคลื่อนย้ายแร่ การขนส่งแร่ผ่านประเทศไทย เช่น จาก สปป.ลาวมายังท่าเรือแหลมฉบัง ทำให้ถนนของไทยเสียหาย แต่ไม่ได้รับการชดเชยที่คุ้มค่า

การทำเหมืองในบางประเทศ เช่น เมียนมา อาจมีค่าใช้จ่ายแฝงในการขออนุญาตสูง ทำให้ผู้ประกอบการพยายามลดต้นทุนด้วยการใช้สารเคมี เช่น กรดในการสกัดแร่ โดยไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ แม้จะมีการสร้างบ่อกักเก็บสารเคมีที่ปูพลาสติกหรือซีเมนต์ในเหมือง แต่ก็สามารถเกิดการรั่วไหลลงสู่ใต้ดินหรือชั้นน้ำใต้ดินได้ โดยเฉพาะเมื่อมีปัจจัยภายนอก เช่น ฝนตกหนักเข้ามาเกี่ยวข้อง การย้ายจุดแต่งแร่ (ปรับปรุงแร่ให้บริสุทธิ์) เพื่อให้ทำงานต่อเนื่องได้จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการขนส่งอย่างมหาศาล อาจสูงถึงครึ่งหนึ่งของมูลค่าแร่ทำให้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ต้นทุนต้องต่ำที่สุด

ส่วนด้านการควบคุมและป้องกันมลพิษในประเทศไทย อาจารย์บรรยายสรุปได้ว่า ประเทศไทยมีการป้องกันน้ำเสียจากกระบวนการทำเหมืองและแต่งแร่ไม่ให้ออกสู่ภายนอก มีการสร้างบ่อกักตะกอนและมีระบบการตรวจสอบ เหมืองแร่ขนาดใหญ่และเหมืองโลหะต้องจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA/ESIA) และมีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ภาครัฐมีความรู้และสามารถเฝ้าระวังป้องกันได้โดยออกแบบระบบรองรับปริมาณน้ำฝนสูงสุด อย่างไรก็ตาม การสร้างฝายดักตะกอนเพื่อแก้ปัญหามลพิษในแม่น้ำ อาจไม่ตอบโจทย์ทั้งหมด และต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาว เช่น การลอกตะกอน ควรศึกษาตัดสินใจให้รอบคอบ

น.ส.ปณาลี บุญรัตน นักศึกษาสำนักวิชานิติศาสตร์ ชมรมนักศึกษาเพื่อสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง บรรยายในหัวข้อ “เสียงของเยาวชน: สิทธิของประชาชนในการเข้าถึงน้ำสะอาดและสิ่งแวดล้อมที่ดี”   

“สิทธิมนุษยชน” เป็นสิ่งที่ไม่สามารถพรากไปจากเราได้ ซึ่งรวมถึงสิทธิในการมีชีวิต อาหารที่ดี และที่สำคัญคือ “สิ่งแวดล้อมที่ดี” การรับรอง “สิทธิในการมีสิ่งแวดล้อมที่สะอาด สุขภาพดี และยั่งยืน” โดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เพิ่งรับรองเมื่อปี พ.ศ. 2565 (3 ปีที่ผ่านมา) แม้ว่ามนุษย์จะอยู่คู่กับสิ่งแวดล้อมมานาน สิทธิสิ่งแวดล้อมครอบคลุมการปกป้องสิ่งแวดล้อมที่สะอาด ปลอดสารพิษ อาหารที่ยั่งยืน น้ำสะอาด ความหลากหลายทางชีวภาพ สิทธิในการรับรู้ข่าวสาร สิทธิในการแสดงออก และการมีส่วนร่วม

น.ส.ปณาลี บุญรัตน ยังย้ำว่าอีกว่า สิทธินี้มีในรัฐธรรมนูญของไทย และยังมีในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) รัฐธรรมนูญ มาตรา 41: บุคคลหรือชุมชนมีสิทธิรับรู้ข่าวสารสาธารณะแต่ในความเป็นจริง การรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับแม่น้ำกกยังคงไม่สมบูรณ์ รัฐธรรมนูญ มาตรา 43: บุคคลหรือชุมชนมีสิทธิจัดการ บำรุงรักษาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในชุมชน รัฐธรรมนูญ มาตรา 57: รัฐมีหน้าที่อนุรักษ์ คุ้มครอง ฟื้นฟูและบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม

ส่วนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) กล่าว่า เป้าหมายที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี : ประชาชนมีสิทธิที่จะมีสุขภาพดี แต่ไม่สามารถกินปลาจากแม่น้ำที่ปนเปื้อนได้,เป้าหมายที่ 6 น้ำสะอาดและสุขาภิบาล : น้ำในแม่น้ำไม่สะอาดถึงขั้นที่บางครั้งต้องซื้อน้ำบรรจุแพ็คมาอาบน้ำ คนในชุมชนใกล้แม่น้ำไม่มีทางเลือกอื่น, เป้าหมายที่ 13 การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ : การทำเหมืองก่อให้เกิดการเผาไหม้และฝุ่นละออง ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดปัญหา เช่น น้ำท่วมบ่อยขึ้น

น.ส.ปณาลี บุญรัตน กล่าวอีกว่า ผลกระทบต่อคนรุ่นปัจจุบันว่า คนรุ่นปัจจุบัน (นักศึกษาอายุ 20 ปี) เผชิญกับปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น น้ำฝนที่ไม่สามารถเล่นได้เหมือนในอดีต และมลพิษทางอากาศ (ฝุ่นควัน)ที่รุนแรงขึ้นจนกลายเป็นเรื่องที่เคยชินและทำอะไรไม่ได้ แล้วการปนเปื้อนในแม่น้ำจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงทะเล ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและปะการัง ซึ่งมีความเปราะบางสูง ผลกระทบไม่ได้จำกัดแค่เชียงราย แต่ขยายไปทั่วประเทศและทั่วโลก คนรุ่นอนาคตจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ปนเปื้อน สูญเสียวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เคยผูกพันกับแม่น้ำ เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อยู่ริมโขงไม่สามารถให้ลูกหลานเล่นน้ำในแม่น้ำได้อีกต่อไป ความสำคัญของแม่น้ำจะลดลง และพวกเขาอาจไม่ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหา

เธอมีข้อเรียกร้องและคำถามทิ้งท้ายว่า แม้จะมีสิทธิมนุษยชน สิทธิตามรัฐธรรมนูญ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่สิทธิเหล่านี้กลับไม่ได้รับการตอบสนองในความเป็นจริง เธอเรียกร้องให้ทุกคนตระหนักถึงสิทธิที่มี และหากไม่สามารถหยุดยั้งปัญหาได้ก็ควร “เข้าร่วม” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะด้วยการเรียกร้องโดยตรง หรือเพียงแค่การเผยแพร่ข้อมูลเพื่อสร้างผลกระทบ “ตอนนี้เรารู้แล้วว่าสิทธิ์ของเราคืออะไร แล้วแต่จะคุยกับใครแล้วใครจะฟังล่ะ” เน้นย้ำถึงความท้าทายในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง.

อาจารย์ อริสรา เหล็กคำ รองคณะบดีสำนักวิชานิติศาสตร์ ผู้ดำเนินรายการเสวนาและคนบรรยายในหัวข้อ “กฎหมายในการจัดการมลพิษข้ามพรมแดน” อาจารย์บรรยายด้วยการขมวดสาระการพูดของนักศึกษาว่า ความตระหนักและปัญหาระหว่างรุ่นเป็นเรื่องสำคัญ เยาวชนเริ่มตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ฝุ่น PM2.5 และการที่น้ำฝนไม่สะอาดอีกต่อไป ซึ่งถือเป็นความอยุติธรรมระหว่างรุ่น และเรียกร้องให้ไม่ยอมรับสภาพนี้เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลง เน้นย้ำว่าหากเฉยชาและไม่เปลี่ยนแปลง จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้

โดยข้อจำกัดของกลไกกฎหมายระหว่างประเทศด้านน้ำ พบว่า กฎหมายระหว่างประเทศที่มีอยู่เกี่ยวกับน้ำมักจำกัดเฉพาะรัฐที่เป็นสมาชิกในกรอบความตกลง เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง(MRC) ทำให้ยากต่อการเจรจากับประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิก เช่น เมียนมา ทำให้ประเด็นมลพิษทางน้ำจากเหมืองแร่ยังไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างจริงจังในเวทีเหล่านี้

อาจารย์อริสรา แนะนำว่า ต้องเปลี่ยนจุดเน้นสู่ต้นกำเนิดมลพิษ: เหมืองแร่ เมื่อกลไกด้านน้ำยังไปไม่ถึง จึงควรเปลี่ยนมุมมองไปที่ต้นกำเนิดของมลพิษ คือกิจกรรมเหมืองแร่ เพื่อหากลไกอื่นมาจัดการ อาจารย์กล่าวถึงกรณีศึกษาคดี โรงถลุงแร่เทรล (Trail Smelter) เป็นโรงถลุงสังกะสีและตะกั่วขนาดใหญ่ในเมืองเทรล รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ซึ่งกลายเป็นประเด็นข้อพิพาททางกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญระหว่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดาในช่วงทศวรรษที่ 1930 การปล่อยมลพิษจากโรงถลุงแร่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างกว้างขวางต่อพืชผลและทรัพย์สินในรัฐวอชิงตันที่อยู่ใกล้เคียง อนุญาโตตุลาการของโรงถลุงแร่เทรลได้กำหนดหลักการที่ว่าประเทศต่างๆ มีหน้าที่รับผิดชอบในการป้องกันอันตรายข้ามพรมแดน และไม่สามารถใช้อำนาจอธิปไตยของตนเพื่อเพิกเฉยต่อมลพิษที่ก่อให้เกิดกับประเทศอื่นๆ ได้

หลักการ “ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐอื่น” เป็นหลักการสำคัญที่ได้รับการรับรองในกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ระบุว่ารัฐต้องรับผิดชอบหากล้มเหลวในการควบคุมกิจกรรมในดินแดนของตน (แม้จะเป็นบริษัทเอกชน) ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐอื่น ในกระบวนการแก้ปัญหาของคดีนี้แสดงให้เห็นว่าการแก้ไขปัญหาเริ่มต้นจากการพยายามฟ้องร้องภายในประเทศที่ไม่เพียงพอ ผ่านคณะกรรมการชายแดนที่ขาดอำนาจ จนนำไปสู่การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ซึ่งการพิสูจน์ความเสียหายใช้เวลายาวนานเป็นเกือบร้อยปี ต้องมีการเก็บรวบรวมหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดและน่าเชื่อถือเพื่อพิสูจน์ความเชื่อมโยงโดยตรงของความเสียหายและนำไปสู่การเรียกร้องค่าชดเชย คดีนี้ยังนำไปสู่การกำหนดค่ามาตรฐานสิ่งแวดล้อมร่วมกัน เพื่อป้องกันและควบคุมมลพิษในอนาคต

เมื่อทบทวนบทบาทของการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพสิ่งแวดล้อม (EIA/EHIA) อาจารย์กล่าวว่า “แม้ EIA เป็นกฎหมายภายใน แต่หลักการทางกฎหมายระหว่างประเทศรับรองว่ากิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบข้ามพรมแดน “ควร” ต้องมีการทำ EIA ตัวอย่างกรณีศึกษาคอสตาริกากับนิการากัว การสร้างถนนโดยไม่มี EIA ทำลายพื้นที่ชุ่มน้ำ นำไปสู่การเรียกร้องค่าเสียหาย การไม่ทำ EIA เมื่อเกิดผลกระทบข้ามพรมแดนอาจถือเป็นการผิดพันธกรณีระหว่างประเทศและเป็นฐานในการเรียกร้องค่าเสียหาย

อาจารย์มองว่า เหมืองแร่เป็นปัญหาเชิงซ้อนและผลกระทบข้ามพรมแดนด้วยหลายประการ เหมืองแร่เป็นกิจกรรมที่ใช้ทรัพยากรน้ำจืดจำนวนมาก ทำให้เกิดการแย่งชิงและปนเปื้อนน้ำเสีย ในรัฐที่มีความเปราะบางหรือขาดการกำกับดูแลที่สมบูรณ์ อาจนำไปสู่การเข้ามาดำเนินกิจการของกลุ่มทุนที่ต้องการประหยัดงบประมาณ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบ ความล้มเหลวของกลไกกำกับดูแลภายในประเทศส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศเพื่อนบ้าน

  กลไกและตราสารระหว่างประเทศอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาจารย์พบว่า ยังมีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity), อนุสัญญาออร์ฮูส (Aarhus Convention) ให้สิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูล การมีส่วนร่วม และความยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อม, อนุสัญญามินามาตะ เพื่อควบคุมสารปรอท ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหมืองทองคำ รวมไปถึง สิทธิมนุษยชนพื้นฐาน สิทธิในการเข้าถึงน้ำสะอาดและสุขอนามัยและปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนพื้นเมือง ว่าด้วยการขอความยินยอมจากชุมชนท้องถิ่น เหล่านี้เป็นกลไกหรืออนุสัญญาของรัฐต่างๆ 

ในภาคเอกชนมีมาตรฐานด้วยความสมัครใจ บริษัทขนาดใหญ่บางแห่งเริ่มพัฒนามาตรฐานและแนวทางปฏิบัติภาคสมัครใจเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เช่น Mining and Material, Responsible Jewellery Council อย่างไรก็ตาม มาตรฐานเหล่านี้ยังไม่ครอบคลุมเหมืองขนาดเล็กหรือเหมืองผิดกฎหมายอาจารย์อริสรา เหล็กคำ กล่าวถึงข้อเสนอแนะและทิศทางในอนาคตว่า “ภาครัฐต้องสานต่อการเจรจาและสื่อสารกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยรวบรวมข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีมาตรฐานสากลอย่างต่อเนื่องและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเสนอให้กำหนดค่ามาตรฐานร่วมกันหรืออย่างน้อยให้ประเทศต้นทางใช้มาตรฐานของตนเองที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบเกินค่ามาตรฐาน  มองปัญหาเหมืองแร่และมลพิษข้ามพรมแดนแบบองค์รวมและยกระดับให้เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประชาชน เพื่อการจัดการที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ”

ผู้บรรยายคนคนท้ายสุดในรอบแรกคือ คุณธารา บัวคำศรี จากองค์กร Climate Connector ในหัวข้อ “เส้นทางแร่พิษ: การตรวจสอบย้อนกลับและกลไกธุรกิจสิทธิมนุษยชน อาจารย์อธิบายถึงความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างแร่หายาก (Rare Earth Elements – REE) การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในลุ่มน้ำโขง และห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก อาจารย์ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการจัดการทรัพยากรเหล่านี้เพื่อบรรเทาวิกฤตสภาพภูมิอากาศโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหามลพิษใหม่

เริ่มด้วยบทบาทของจีนในการเพิ่มขึ้นของแร่หายาก นับแต่ เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำจีน มีบทบาทสำคัญในการเปิดประเทศจีนสู่เศรษฐกิจสมัยใหม่ และเน้นย้ำถึงความสำคัญของแร่หายากในการผลักดันจีนสู่การเป็นมหาอำนาจโลก เช่นเหมืองแร่หายากในเขตมองโกเลียในแห่งลุ่มน้ำเหลืองซึ่งผลิตแร่หายากชนิดเบา เป็นสัญลักษณ์ของการก้าวขึ้นมาของจีน จีนถือว่าแร่หายากเป็นทรัพยากรสำคัญที่โดดเด่นจากภูมิภาคอื่น

ความสำคัญของแร่หายากในชีวิตประจำวันและพลังงานสะอาด แร่หายากเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โทรศัพท์มือถือ (นีโอดิเมียมและดิสโพรเซียมทำให้สั่น, อิตเทรียมสำหรับหน้าจอ) และรถยนต์ไฟฟ้า จนถูกเรียกว่า “วิตามินของอุตสาหกรรม” เนื่องจากใช้ในปริมาณน้อยแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ มีบทบาทสำคัญในการขยายตัวอย่างรวดเร็วของพลังงานหมุนเวียน เช่น กังหันลมและแผงโซลาร์เซลล์

คุณธารา บัวคำศรี ยังอธิบายอีกว่า เหมืองแร่ที่สร้างมลพิษและค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูระบบแม่น้ำเหลืองของจีนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการทำเหมืองแร่หายาก ก่อให้เกิดตะกอนแร่, โลหะกัมมันตรังสี (เช่น ทอเรียม) และการปนเปื้อนในดิน การศึกษาประมาณการว่าการฟื้นฟูระบบแม่น้ำที่ปนเปื้อนในจีนต้องใช้เวลาและเงินมหาศาล เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูกับมูลค่าตลาดของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (เช่น Apple) เพื่อแสดงให้เห็นว่าต้นทุนนั้นสูง แต่สามารถจัดการได้หากมีความมุ่งมั่น ซึ่งเชื่อมโยงกับการเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูในระบบแม่น้ำกก รวก สาย โขงในไทย

ส่วนห่วงโซ่อุปทานและผู้เล่นในภูมิภาค นับว่า จีนเป็นผู้ครอบงำห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก ผู้เล่นสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ เมียนมา เวียดนาม และมาเลเซีย, ประเทศเมียนมาและเวียดนามส่งออกแร่หายากที่ผ่านกระบวนการแล้วไปยังจีนเป็นหลัก โดยเมียนมามีบริษัทเช่น Myanmar Ye Huang Mining Corp. ที่มีเหมืองในรัฐกะฉิ่นและฉาน ส่วนประเทศมาเลเซียเป็นศูนย์กลางการแปรรูปสำหรับวัตถุดิบที่มาจากออสเตรเลีย เช่น บริษัท Lynas Corp. Ltd., , ประเทศเยอรมนีเป็นผู้นำเข้าแม่เหล็กแร่หายากรายใหญ่ที่สุดจากจีน สำหรับอุตสาหกรรมกังหันลม, ส่วนประเทศไทยไม่ได้ทำเหมืองแร่หายาก แต่มีบทบาทในการนำเข้าแร่ดิบจากออสเตรเลียเพื่อยกระดับคุณภาพและส่งออกต่อ

การเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาดต้องการแร่ธาตุสำคัญมากขึ้น แต่ปัจจุบันอัตราการรีไซเคิลของแร่เหล่านี้ต่ำมากเพียง 1% ก่อให้เกิดมลพิษอย่างต่อเนื่อง แต่ขาดระบบตรวจสอบย้อนกลับที่แข็งแกร่งสำหรับแร่หายาก ทำให้ยากต่อการระบุแหล่งที่มาที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือหลีกเลี่ยงแร่จากตลาดมืด ระบบตรวจสอบย้อนกลับของจีนจำกัดเฉพาะในประเทศ

คุณธารา บัวคำศรี เสนอแนวทางแก้ไขว่า ให้ใช้กลไกระหว่างประเทศและแนวทางปฏิบัติของ UN ในการแก้ปัญหามลพิษและการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรม และให้พิจารณาการฟ้องร้องคดี เช่น คดีสภาพภูมิอากาศที่เยาวชนฟ้องรัฐบาล เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการสร้างเสียงและความตระหนักถึงผลกระทบต่อระบบแม่น้ำในเชียงราย รวมไปถึงการเปิดการเจรจากับจีน โดยชี้ให้เห็นว่าแม้จีนจะมีการจัดการมลพิษจากเหมืองในประเทศได้ดีขึ้น แต่ก็ต้องให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดจากการนำเข้าแร่จากประเทศเพื่อนบ้านด้วยซึ่งจะทำให้จีนไม่ถูกมองว่าเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ

อาจารย์ อริสรา เหล็กคำ รองคณะบดีสำนักวิชานิติศาสตร์ ขมวดประเด็นความท้าทายของพลังงานสะอาดว่า 

แม้พลังงานสะอาดจะเป็นเป้าหมาย แต่การผลิตต้องพึ่งพาแร่หายาก ซึ่งการสกัดแร่ในพื้นที่ที่ไม่มีการจัดการที่ดีพอ ก่อให้เกิดมลพิษสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะต่อชนกลุ่มน้อยในพื้นที่เหมืองแร่ของเมียนมา และยังก่อผลกระทบต่อเชียงราย, ระบบแม่น้ำในเชียงรายที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงได้รับผลกระทบจากมลพิษจากเหมืองแร่ในเมียนมา ทำให้คุณภาพน้ำและผลผลิตทางการเกษตรมีความเสี่ยงจากการปนเปื้อนสารโลหะหนัก ดังนั้นกลไกการตรวจสอบย้อนกลับจำเป็นยิ่งในการใช้กลไกทางสังคมเพื่อกดดันบริษัทต่างๆ ให้ผลิตและนำเข้าวัตถุดิบที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน ไม่ก่อให้เกิดมลพิษหรือละเมิดสิทธิแรงงานหรือสิ่งแวดล้อม

คุณธารา บัวคำศรี จากองค์กร Climate Connector เพิ่มเติมถึงแนวคิดใหม่ในการจัดการว่า “มีแนวทางจาก UN เรื่อง “เขตห้ามทำเหมือง” (No-go zone) และการให้สถานะทางกฎหมายแก่แม่น้ำ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ประเทศไทยอาจนำมาปรับใช้เพื่อปกป้องและฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำสำคัญ โดยเฉพาะในเชียงราย”

อาจารย์  ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง  นำเสนอรอบสองด้วยข้อเสนอแนะเร่งด่วนสำหรับรัฐบาลไทย ภายใน 4 เดือนว่า 

1) รัฐบาลควรยุติการนำเข้าแร่ทั้งหมดจากเมียนมาที่ผ่านชายแดนไทย จากแม่สายถึงแม่ฮ่องสอน และกำหนดให้ผู้นำเข้าต้องสำแดงแหล่งที่มาของแร่ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มาจากแหล่งที่ก่อให้เกิดมลพิษในเขตต้นน้ำของแม่น้ำกก, แม่น้ำสาย, แม่น้ำรวก, และแม่น้ำโขง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการความรับผิดชอบทางธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมของ UN นอกจากนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณให้เมียนมาเข้าสู่การเจรจาอย่างจริงจัง

2)ให้ตรวจสอบผลผลิตข้าวนาปี 100,000 ไร่ ในลุ่มน้ำกกและน้ำสายก่อนการเก็บเกี่ยว ภายในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อปกป้องเกษตรกร พร้อมเยียวยาหากมีการปนเปื้อน ทั้งผู้บริโภค และอุตสาหกรรมข้าวของจังหวัดเชียงรายได้เกิดความมั่นใจหากไม่มีการปนเปื้อน 

3)อนุมัติงบประมาณจัดหาน้ำใหม่ ให้อนุมัติงบประมาณ 1,000 ล้านบาท สำหรับจัดหาแหล่งน้ำใหม่ทดแทนแม่น้ำกก, แม่น้ำสาย, แม่น้ำรวกและแม่น้ำโขง ที่มีการปนเปื้อน เพื่อให้ประชาชนเชียงรายไม่ต้องบริโภคน้ำประปาที่มีสารหนูและแบเรียมสะสมในร่างกาย

4)ให้จัดตั้งศูนย์ตรวจสารโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย เพื่อให้ข้อมูลการปนเปื้อนในผัก, ปลา, น้ำ, และร่างกายมนุษย์ที่ทันท่วงทีและทันสมัย ซึ่งปัจจุบันต้องส่งไปตรวจที่กรุงเทพฯ ใช้เวลานาน 15 วันถึง 1 เดือน ทำให้การแก้ไขปัญหาทำได้ช้าและข้อมูลไม่ทันเหตุการณ์

อาจารย์ อริสรา เหล็กคำ ขมวดประเด็นเพิ่มเติมว่า ความสนใจในการทำเหมืองแร่ในเมียนมาและผลกระทบข้ามพรมแดนมีการลงทุนและสนใจแร่ในเมียนมาอย่างมากจากประเทศต่างๆ เช่น จีน อินเดีย และสหรัฐฯ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาค อย่างนี้ในเครือข่ายระดับโลกมีแบบและแนวทางอย่างไร เราควรจะดำเนินการแบบไหนต่อไป

อาจารย์ ดร.พีท หอมชื่น กล่าวว่า แม้จะมีการประชุมประจำปีในระดับภูมิภาคและระดับโลกระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคการศึกษาเกี่ยวกับธนาคารอาเซียน แต่สิ่งสำคัญคือภาครัฐต้องมีบทบาทนำอย่างชัดเจนในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือและการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เช่น การตั้งศูนย์ตรวจสอบโลหะหนัก เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังและนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

อาจารย์ อริสรา เหล็กคำ กล่าวว่า แม้เป้าหมายคือพลังงานสะอาด แต่กระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้กลับเพิ่มความต้องการแร่ธาตุ ซึ่งอาจนำไปสู่การทำเหมืองที่ยังคงสร้างมลภาวะและผลกระทบเชิงลบ

น.ส.ปณาลี บุญรัตน นักศึกษาสำนักวิชานิติศาสตร์ชมรมนักศึกษาเพื่อสิทธิมนุษยชน มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า แม้เยาวชนจะยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาใหญ่ได้ในตอนนี้ แต่สามารถเริ่มต้นด้วยการพูดคุยและแชร์เรื่องราวให้สังคมรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริง. เมื่อการรับรู้ขยายวงกว้างขึ้น จะเกิดแนวคิดใหม่และแนวทางการแก้ปัญหาใหม่ ๆ ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง. การเคลื่อนไหวของสังคมจะกลายเป็นแรงกดดันต่อภาครัฐ ซึ่งสุดท้ายแล้วรัฐก็ต้องฟังเสียงของประชาชน.

คุณธารา บัวคำศรี จากองค์กร Climate Connector กล่าวว่า มีสนธิสัญญาทะเลหลวงฉบับใหม่ที่กว่า 60 ประเทศลงนาม เพื่อคุ้มครองทะเลและห้ามการทำเหมืองแร่ในทะเลลึก ซึ่งเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนผ่านพลังงานและแรงกดดันจากการขาดแร่บนบก ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ กำลังเผชิญข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้จีนหันมาสนใจการทำเหมืองในทะเลลึก แต่ยังติดข้อห้ามระดับสากล แรงกดดันจากการแสวงหาแร่กำลังเคลื่อนตัวมายังภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย ซึ่งอาจกลายเป็นช่องทางของตลาดมืดและการลักลอบ ประเทศไทยควรใช้โอกาสนี้ในการผลักดันระบบตรวจสอบย้อนกลับระดับอาเซียน เพื่อป้องกันปัญหาการลักลอบและสร้างความโปร่งใส ด้วยรัฐบาลใหม่และโอกาสในการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยสามารถใช้วิกฤตินี้เป็นจุดเริ่มต้นในการแสดงบทบาทนำในภูมิภาคได้

อาจารย์ อริสรา เหล็กคำ กล่าวก่อนให้ผู้ฟังเสวนาแสดงความคิดเห็นว่า ในพื้นที่ท้องถิ่น โดยเฉพาะเชียงราย ประชาชนพยายามผลักดันประเด็นเหมืองแร่และสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มกำลัง แม้จะถูกปล่อยให้รับผิดชอบโดยลำพังจากภาครัฐ ปัญหาการแยกส่วนของหน่วยงานระดับชาติทำให้ไม่มีเจ้าภาพหลักที่มองภาพรวมและเชื่อมโยงเรื่องเหมืองแร่กับสุขภาพ การค้า และสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ แม้จะมีความเบื่อหน่ายและความเคยชินว่าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่การพูดคุยสื่อสารอย่างต่อเนื่องในพื้นที่คือพลังสำคัญที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว

ครูแดง-เตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า เวทีนี้น่าดีใจมากที่มีข้อเสนอเชิงรูปธรรมและกล้าพูดความจริง พร้อมผลักดันประเด็นเหมืองแร่สู่ระดับนานาชาติ โดยหวังให้นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น จุฬาฯ และ มช. ร่วมกันวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับภูมิภาคและโลก เพื่อเสนอแนวทางต่อรัฐบาลอย่างเป็นระบบ.

อาจารย์ ดร.พีท หอมชื่น กล่าวว่า นักวิชาการมีงานวิจัยเกี่ยวกับเหมืองแร่ สิ่งแวดล้อม และการรีไซเคิลทรัพยากรอย่างต่อเนื่อง แต่ยังขาดความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐ. แม้จะมีบางโครงการที่มหาวิทยาลัยเป็นที่ปรึกษา แต่ข้อจำกัดด้านงบประมาณและการวางแผนล่วงหน้าทำให้ข้อมูลบางส่วนไม่สามารถอัปเดตได้ทันสถานการณ์

ครูแดง-เตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ถามชวนคิดอีกว่า มหาวิทยาลัยสามารถผลักดันข้อเสนอเรื่องสารพิษผ่านที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนต่อรัฐบาลอย่างเป็นระบบ จะเป็นไปได้ไหมคะ

อาจารย์ ดร.พีท หอมชื่น กล่าวว่า เมื่อสองเดือนก่อน คณบดีได้ตั้งคณะทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และกรมควบคุมมลพิษเพื่อหารือแนวทางแก้ปัญหาอย่างจริงจัง แม้ยังไม่ได้เผยแพร่สู่สาธารณะอย่างชัดเจน

คุณรักดาว พุธฉัตร เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก และโขง กล่าวว่า แม้กฎหมายรีโอ 1962 จะระบุว่ารัฐต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบข้ามพรมแดน แต่ประเทศไทยยังไม่ได้นำหลักการนี้มาตีความเชิงรุกเพื่อป้องกันมหันตภัยที่อาจเกิดขึ้นจากการสะสมสารพิษหรือผลกระทบสิ่งแวดล้อมในอนาคต. ประสบการณ์จากหลายประเทศทั่วโลกชี้ชัดว่าการเพิกเฉยต่อสัญญาณเตือนเล็ก ๆ อาจนำไปสู่ความเสียหายร้ายแรง จึงควรใช้บทเรียนเหล่านั้นเป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย. ในฐานะประชาชน เราจำเป็นต้องเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือสภาผู้แทนราษฎร สเต็ปอัพขึ้นมา และผลักดันประเด็นนี้สู่เวทีนานาชาติเพื่อสร้างแรงกดดันและความร่วมมือระดับโลก.

คุณโกวิท บุญธรรม ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส กล่าวว่า แม้ข้อมูลเรื่องสารพิษจะมีครบจากงานวิจัยและหน่วยงานรัฐ แต่สิ่งที่ยังขาดคือบทบาทที่จริงจังของรัฐบาลในการยกระดับปัญหาสู่เวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการตั้งคณะทำงานหรือทีมเฉพาะกิจที่รวมพลังจากทุกภาคส่วนเพื่อแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบและเร่งด่วน เพราะหากปล่อยให้สารพิษสะสมต่อไปโดยไม่มีการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะจากประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ก็อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อประชาชนในลุ่มน้ำโขงและอาเซียนในระยะยาว ซึ่งเวทีอาเซียนควรกล้าคุยกับจีนอย่างตรงไปตรงมาเพื่อปกป้องอนาคตของภูมิภาค.คุณประนอม เชิมชัยภูมิ ประธานเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนจังหวัดเชียงราย กล่าว่า จากที่ฟังผู้บรรยายและผู้สื่อข่าวสะท้อนความรู้สึกถึงภัยสารพิษที่คุกคามชีวิตประชาชนมากขึ้นทุกวัน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการปกป้องความปลอดภัยของประชาชนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำแม่สายและจังหวัดเชียงรายที่เริ่มได้รับผลกระทบแล้ว เช่น การที่สินค้าการเกษตรถูกตีตราว่าเสี่ยงต่อการบริโภคจนไม่มีคนรับซื้อ ขณะเดียวกันประชาชนในพื้นที่เริ่มรวมตัวหารือกับนักวิชาการและองค์กรชุมชนเพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐ เช่น กรมควบคุมมลพิษและกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม แสดงความรับผิดชอบ และอาจต้องดำเนินการทางกฎหมายผ่านศาลปกครองหากยังละเลยหน้าที่

Share/แชร์

Leave a Reply